พลันที่ล้อเครื่องบินกางลงและแตะท่าอากาศยานควีนทาวน์หลังจากลดระดับฝ่าเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่หนาแน่นจนมองไม่เห็นอะไรมาหลายนาที ภาพเมืองและทะเลสาบปรากฏให้เห็นสุดลูกหูลูกตา เหมือนการโอบวงล้อมต้อนรับให้ผ่อนคลายจาการเดินทางอันแสนยาวนาน
ผู้คนต่างเดินก้าวลงบันไดออกจากเครื่องบินสู่พื้นรันเวย์ ลมหวิวๆ พัดพาความเย็นแบบชื้นๆ มาปะทะให้ขาแข็งได้เล็กน้อย ด้วยอุณหภูมิติดลบนิดหน่อย ราวๆ -2 องศา ผมยังจำความชื้นของอากาศขณะก้าวลงบันไดเครื่องบินได้ดี ความสงบของสิ่งแวดล้อม ความเงียบเชียบได้ก่อตัวขึ้นในใจท่ามกลางลานรันเวย์เวิ้งว้าง เส้นจราจรเครื่องบินและแสงไฟสัญญาณบนรันเวย์ชี้นำสายตาทอดยาวไปยังเทือกเขาข้างหน้าที่ตั้งตระหง่านเรียงรายสลับซับซ้อนดังกำแพงธรรมชาติที่ตัดขาดเมืองนี้ออกจากโลกภายนอก
วินาทีที่ตาสามารถมองเห็นรันเวย์ขณะเครื่องบินวิ่ง taxi นี่คือวิวหรือซีนที่สวยงามเกินจะอธิบาย วินาทีที่ทำได้เพียงมองอยู่อย่างนั้นและตะลึงงันอยู่ในใจ (เสียดายที่ไม่ได้หยิบกล้องออกมาเก็บภาพ เพราะต้องรีบเดินตามขบวนไป) อธิบายเป็นตัวอักษรถ่ายทอดได้เพียงว่า ถ้าหากเป็นนักบินที่นำเครื่องบินขึ้น-ลง ณ สนามบินแห่งนี้ คงเพลิดเพลินใจไม่น้อย
พลันที่นึกได้ถึงเวลาที่แตกต่างกัน ผมรีบดึงเกลียวเม็ดมะยมของนาฬิกาข้อมือ หมุนปรับเป็นเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทยไป 5 ชั่วโมง
เมืองเล็กๆ ที่ดูสงบ
เห็นรถตกเขาด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายมา
ถนนมืด ไม่มีไฟ
แต่เมื่อแสงไฟหน้ารถกระทบเส้นก็นำทางไปได้ดี
ถ้ามีคนข้างทางก็หลอนเอาการอยู่เหมือนกัน
แอร์นิวซีแลนด์ ในประเทศ ดีจริง
เราไม่ต้องมีโซเชียล ไม่ต้องรายงานใครก็ได้ เพราะสัญญาณกลางหุบเขา ยังดีบ้าง ไม่ดีบ้าง 3G แทบจะตลอดเวลา
จิตสำนึกถึงคนยืนรอบนท้องถนน เห็นคนยืนมองอีกฝั่ง ก็หยุดให้คนข้ามแล้ว
ออกจากโรงแรมตอนเช้ามืด จำได้ว่าอากาศเย็นยะเยือก แต่คล้ายกับว่าร่างกายปรับตัวได้แล้ว เราเก็บความสั่นเทาไว้ภายใต้ชุดกันหนาวที่ขนาดหนาเตอะยังแทบเอาไม่อยู่
วันที่กลับมาเมืองไทย สัมผัสแรกคือ อากาศ ผมว่าอากาศเมืองไทยหายใจแล้วรู้สึกไม่สะดวกสบายเท่าไหร่ และเป็นอากาศที่มีกลิ่น กลิ่นมลพิษ กลิ่นควัน กลิ่นขยะ หรืออะไรก็มิอาจทราบได้
ไม่แปลกใจถ้าใครหลายคนขอใช้เวลาบั้นปลายแบบสบายๆ ที่เมืองนอกเมืองนา นิวซีแลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจ หากไลฟ์สไตล์ของคุณเข้ากับมันได้ ที่สำคัญ สดชื่นดี